การใช้ ใบเหลือง-ใบแดง ในกีฬาฟุตบอล และความเป็นมา

ในการแข่งขันกีฬาฟุตบอล  ผู้ตัดสินจะพก ใบเหลือง-ใบแดง ติดตัวไว้ตลอดเวลา  เพื่อใช้ควบคุมนักเตะให้เล่นตามกติกา  ในระหว่างการแข่งขันถ้ามีการฟาวล์เกิดขึ้น กรรมการจะเป่านกหวีดหยุดเกมชั่วคราว ถ้าการฟาวล์นั้นเป็นการทำผิดกติกาอย่างจงใจหรือทำฟาวล์อย่างรุนแรง  กรรมการจะชูใบเหลือง หรือใบแดงให้แก่นักเตะคนที่ทำผิดกติกา  นักเตะที่โดนใบเหลืองไปแล้วยังสามารถเล่นต่อในสนามได้  แต่ถ้าทำผิดกติกาแบบรุนแรงอีกครั้งก็มีโอกาสโดนใบเหลืองที่สอง กลายเป็นใบแดงและต้องออกจากการแข่งขัน

บางครั้งการทำผิดกติกาที่รุนแรงมากๆนักเตะอาจโดนใบแดงโดยตรงเลยก็ได้  ส่วนมากจะเกิดจากการกระทำผิดรุนแรงเช่น ทำร้ายผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามโดยเจตนา, เปิดปุ่มรองเท้าใส่ฝั่งตรงข้ามแบบจงใจ, นักเตะที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูจงใจใช้มือจับลูกบอลในกรอบเขตโทษ และอื่นๆ

ผลจากการได้รับใบเหลือง ใบแดง หลังทำผิดกติกา
หากผู้เล่นได้รับใบแดงก่อนเริ่มการแข่งขัน ทีมสามารถเปลี่ยนตัวนักเตะคนอื่นลงแทนได้  แต่ถ้าผู้เล่นถูกไล่ออกหลังจากเริ่มการแข่งขันไปแล้ว  นักเตะที่โดนใบแดงจะต้องออกจากสนาม และทีมของผู้เล่นที่ถูกใบแดงจะมีผู้เล่นลดลง 1 คนทันที( ไม่สามารถส่งผู้เล่นลงแทนผู้เล่นที่ถูกใบแดงได้ )  กรณีที่ทีมใดมีผู้เล่นได้รับใบแดงเกิน 4 คนจะถูกปรับแพ้ทันที ( ตามกติกาของฟุตบอลบัญญัติไว้ว่าในทีมๆ หนึ่งต้องส่งผู้เล่นลงสนามไม่เกิน 11 คน แต่ไม่ต่ำกว่า 7 คน )ใบเหลือง-ใบแดง ในกีฬาฟุตบอลที่มาของการใช้ ใบเหลือง-ใบแดง ในกีฬาฟุตบอล
ผู้ตัดสินฟุตบอลชื่อ “เคน แอสตัน” ได้นำ ใบเหลือง-ใบแดง มาใช้ครั้งแรกในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศเม็กซิโก ในปี ค.ศ. 1970  โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากสัญญาณไฟจราจร  โดยสีแดงคือการหยุด หรือไล่ออกจากสนาม, สีเหลืองคือเตรียมหยุด หรือถ้าทำผิดกติกาอีกก็มีโอกาสถูกไล่ออกจากสนาม