5 เหตุผล ทำไมฤดูกาล 2011-12 ถึงคลาสสิคที่สุด ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มีหลายฤดูกาลที่แฟนบอลจดจำ ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาล 2018-19 ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เบียดแย่งแชมป์กับ ลิเวอร์พูล จนถึงนัดสุดท้าย, ฤดูกาล 1998-99 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าทริปเปิลแชมป์ ชนิดที่ต้องลุ้นหนักตลอดทาง หรือฤดูกาล 1994-95 ที่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้แชมป์จากความผิดพลาดเองของทีมปีศาจแดงในเกมส่งท้ายซีซั่น

แต่ฤดูกาลที่ถูกยกให้ “คลาสสิคที่สุด” ตลอดกาล คือซีซั่น 2011-12 ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก โดยเบียดเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแบบหวุดหวิดด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่เหนือกว่าเท่านั้นเอง

หากใครยังรู้สึกสงสัยว่า “เฮ้ย! มันจะคลาสสิคอะไรขนาดนั้น” ขอแนะนำให้ลองอ่าน 5 เหตุผลต่อไปนี้ ที่ต้องยอมรับว่า ฤดูกาล 2011-12 คือฤดูกาลที่พรีเมียร์ลีกสนุกที่สุดจริงๆ

5 เหตุผล ทำไมฤดูกาล 2011-12 ถึงคลาสสิคที่สุด ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงประตูชัยสุดดราม่า พาทีมเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

1. เต็มไปด้วยบิ๊กแมตช์น่าจดจำ
ในฤดูกาลนั้นผลการแข่งขันระหว่างทีมใหญ่เจอกันเอง เต็มไปด้วยเรื่องที่น่าพูดถึงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สามารถบุกไปถล่ม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ถึงบ้านได้ 5-1 รวมถึงทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หมดสภาพคา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยสกอร์ 1-6

แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็โชว์ผลงานสุดยอด ด้วยการเปิดบ้านยำใหญ่ อาร์เซน่อล 8-2 ชนิดที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ต้องเจอกับเกมที่เสียประตูเยอะที่สุดเท่าที่เคยลงเล่นในลีกสูงสุดอังกฤษ

ศึก “แดงเดือด” ฤดูกาลนั้น ก็มีเหตุการณ์ที่แฟนบอลไม่ลืม นั่นคือความขัดแย้งระหว่าง ปาทริซ เอวร่า กับ หลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งดาวยิงอุรุกวัยไปใช้คำพูดเหยียดผิวแบ็กซ้ายฝรั่งเศส ก่อนจะนำไปสู่ดราม่า “ไม่จับมือ” กันในเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ทางด้าน อาร์เซน่อล ล้างอาถรรพ์ไม่ชนะที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นานหลายปี ด้วยการบุกชนะ 5-3 ด้วยแฮตทริกของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก่อนจะมีเกมที่บรรดา “เดอะ กันเนอร์ส” ประทับใจถ้วนหน้า คือการพลิกสถานการณ์จากตามหลัง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2 ลูก กลับมาแซงถล่ม 5-2 แบบดุเดือด

2. ยิงกันกระจุยกระจาย
ฤดูกาล 2011-12 เคยครองสถิติเป็นฤดูกาลที่มีประตูเกิดขึ้นเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกถึง 1,066 ประตู จากทั้งหมด 380 แมตช์ หรือเฉลี่ยนัดละเกือบ 3 ประตูเลยทีเดียว

อย่างที่บอกไป ซีซั่นดังกล่าวเต็มไปด้วยเกมที่มีประตูเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจอกันของบิ๊กแมตช์ ซึ่งตำแหน่งดาวซัลโวตกเป็นของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่เล่นให้ อาร์เซน่อล เป็นฤดูกาลสุดท้าย ซัดให้ทีมปืนใหญ่ไปถึง 30 ลูก

อย่างไรก็ตาม สถิติได้ถูกทำลายลงในฤดูกาล 2018-19 ที่มีประตูเกิดขึ้นรวมกันถึง 1,072 ลูก แต่ถึงอย่างนั้น ความสนุกตื่นเต้นของฤดูกาล 2011-12 ก็ไม่ได้เป็นรองเลยแม้แต่น้อย

3 ทีมน้องใหม่ รอดตกชั้นหมด
ฤดูกาล 2011-12 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ 3 ทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุด ไม่ตกชั้นกลับไปอยู่ในแชมเปี้ยนชิพเลยสักทีม ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส, นอริช ซิตี้ และ สวอนซี ซิตี้ ล้วนอยู่รอดปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมหงส์ขาวภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เล่นบอลได้น่าตื่นตาตื่นใจ จนจบสูงถึงอันดับ 11 ของตาราง

ความพีคก็คือ การลุ้นหนีตกชั้นนั้น ต้องรอจนถึงเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล โดยในสัปดาห์ที่ 38 เหลือโควตาอยู่รอดเพียง 1 ทีม แต่ต้องลุ้นหนีตายกันถึง 3 ทีม ประกอบด้วย แอสตัน วิลล่า, ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส และ โบลตัน วันเดอเรอร์ส

แอสตัน วิลล่า มี 38 แต้ม, ควีนส์ปาร์ค มี 37 ส่วน โบลตัน มี 35 นั่นหมายความว่า ถ้าหากโบลตันชนะ แล้วอีก 2 ทีมที่อยู่เหนือพวกเขาต่างแพ้ทั้งหมด โบลตันจะพลิกสถานการณ์เป็นผู้อยู่รอดได้ แต่สุดท้าย โบลตัน วันเดอเรอร์ส ทำได้เพียงบุกไปเสมอ สโต๊ค 2-2 ทั้งที่ วิลล่า และคิวพีอาร์ ต่างแพ้ในเกมปิดซีซั่นทั้งหมด ทำให้โบลตันต้องร่วงตกชั้นลงสู่แชมเปี้ยนชิพ และยังไม่สามารถเลื่อนชั้นกลับมาได้อีกเลยจนถึงทุกวันนี้

4. ลุ้นโควตา UCL สุดวุ่นวาย
ฤดูกาลดังกล่าว ยูฟ่า ให้โควตาทีมจากอังกฤษได้ไปลุย แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้มากที่สุดเพียง 4 ทีม ไม่ใช่ 5 ทีมเหมือนอย่างปัจจุบัน เชลซี ที่ได้เพียงอันดับ 6 ในลีก สามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ นั่นหมายความว่า ถ้าทีมสิงห์บลูส์คว้าแชมป์ยุโรป ทีมอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีก จะต้องไปเล่นแค่ ยูโรปา ลีก แทนทันที นั่นทำให้เกมสุดท้ายของฤดูกาล อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต้องพยายามแย่งอันดับ 3 กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ขณะที่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็กำลังลุ้น 2 ต่อ อันดับแรกทีมสาลิกาดงต้องคว้าอันดับ 4 ให้ได้ด้วยการเก็บชัยชนะในเกมสุดท้าย โดยต้องให้ทีมปืนใหญ่หรือไก่เดือยทอง พลาดท่าแพ้อย่างน้อย 1 ทีม ก่อนจะไปตามแช่ง เชลซี ในนัดชิง UCL อีกที อย่างไรก็ตาม นิวคาสเซิ่ล แพ้ เอฟเวอร์ตัน ยับเยิน 3-1 ในนัดที่ 38 จึงหมดลุ้นไปเล่นถ้วยใหญ่สุดยุโรปก่อนใครเพื่อน

ขณะที่ อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ต่างชนะในนัดสุดท้ายทั้งคู่ ทำให้ทีมปืนใหญ่คว้าอันดับ 3 โดยมีคะแนนมากกว่าทีมไก่เดือยทอง 1 แต้ม นั่นหมายความว่า สเปอร์ส จะได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า เชลซี จะได้แชมป์ยุโรปหรือเปล่า

สุดท้าย การที่ เชลซี สร้างปาฏิหาริย์ ดวลจุดโทษเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค พร้อมคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกได้จริงๆ ที่มิวนิค ก็ทำให้ สเปอร์ส ต้องชอกช้ำ พลาดตั๋ว UCL ทั้งที่อุตส่าห์ได้อันดับ 4 แล้วแท้ๆ

5. ตัดสินแชมป์ในวินาทีสุดท้าย!!
แน่นอนว่าไม่มีใครลืมความเข้มข้นของการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้นระหว่าง 2 ทีมดังเมืองแมนเชสเตอร์ได้เลย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เกาะกลุ่มนำก่อนใครเพื่อน ด้วยผลงานสุดยอดตั้งแต่ออกสตาร์ท พวกเขาทำสถิติไร้พ่ายในช่วงต้นฤดูกาลนานหลายนัด และนั่นทำให้ตารางคะแนนพร้อมเปลี่ยนแปลงได้ทุกสัปดาห์

แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะชิงจังหวะโกยแต้มทิ้งห่าง หลังเกมบุกถล่มผีแดงยับเยิน 6-1 ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่ทีมปีศาจแดงของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังพยายามเก็บแต้มให้มากที่สุด รักษาระยะห่างไม่ให้ถูกทิ้งมากเกินไปไว้ได้ หลังผ่านกลางเดือนมกราคม แมนฯ ยูไนเต็ด เข้าสู่ช่วงท็อปฟอร์มสุดๆ กวาดไปถึง 37 แต้มจาก 13 นัด ขณะที่ทีมเรือใบสีฟ้าฟอร์มเป๋ในช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนเมษายน

ทีมปีศาจแดงมีคะแนนมากว่าเรือใบสีฟ้าถึง 8 คะแนน และเหลือโปรแกรมอีกแค่ 6 นัด ถ้าพวกเขายังรักษามาตรฐานไว้ได้ ก็จะป้องกันแชมป์อีกสมัยได้ไม่ยาก แต่ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด พลาดท่าบุกไปแพ้ วีแกน แบบพลิกล็อค, ก่อนจะสะดุด ปล่อยให้ เอฟเวอร์ตัน ไล่ตีเสมอ 4-4 ทั้งที่อุตส่าห์นำห่างถึง 4-2 เปิดโอกาสให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ชนะรวด โกยแต้มไล่มาเหลือแค่ 3 คะแนน ในช่วงสิ้นเดือนเมษายน

เกมลีกนัดที่ 36 ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงกลายเป็นนัดตัดสินแชมป์ไปโดยปริยาย เพราะถ้าเรือใบสีฟ้าของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ชนะได้ พวกเขาจะพลิกขึ้นนำจ่าฝูงแทน ด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่ดีกว่า และ แมนฯ ซิตี้ ก็ทำได้จริงๆ จากลูกโขกของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี

ในเกมนัดที่ 37 ทั้งสองทีมไม่พลาด 3 คะแนน แชมป์จึงต้องไปตัดสินกันในนัดสุดท้าย เรียกได้ว่าถ้าใครพลาด เตรียมเสียแชมป์ได้เลย เพราะโปรแกรมนัดที่ 38 ของทั้งคู่ ไม่ใช่งานหนักสักเท่าไร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บรรลุเป้าหมายตัวเองได้ก่อน เมื่อบุกชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 ทีนี้ขึ้นอยู่กับว่า แมนฯ ซิตี้ จะพลาดหรือไม่

ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม แมนฯ ซิตี้ ปล่อยให้ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ที่เหลือผู้เล่นน้อยกว่านำ 2-1 เมื่อเข้าช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แต่พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ ได้ 2 ประตูจาก เอดิน เชโก้ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ พลิกสถานการณ์แซงชนะ 3-2 ได้แบบใจหายใจค่ำ ปล่อยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องใจสลาย ที่แช่งคู่ปรับร่วมเมืองไม่สำเร็จ

และนั่นคือครั้งเดียวในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่ต้องใช้ “ผลต่างประตูได้เสีย” ตัดสินแชมป์ ซึ่งประตูชัยของ เซร์คิโอ อเกวโร่ นั้นเกิดขึ้นก่อนหมดเวลาเพียง 15 วินาทีเท่านั้น